ถามหมอได้เลยครับ
icon-phone
  1. หน้าแรก
  2. บทความและข่าวสาร
  3. ตาแฉะเกิดจากอะไร ผิดปกติไหม รู้จักสาเหตุ อาการ และวิธีรักษาอย่างเหมาะสม

ตาแฉะเกิดจากอะไร ผิดปกติไหม รู้จักสาเหตุ อาการ และวิธีรักษาอย่างเหมาะสม

เขียนเมื่อ: 20/6/2025
ตาแฉะเกิดจากอะไร

อาการตาแฉะ หรือมีน้ำตาคลอเบ้าอยู่ตลอดเวลา สร้างความรำคาญใจและอาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็นในชีวิตประจำวันได้ไม่น้อย หลายคนอาจสงสัยว่าอาการนี้เป็นสัญญาณของความผิดปกติร้ายแรงหรือไม่ บทความนี้ โคอาคลินิกจะพาคุณไปทำความเข้าใจถึงสาเหตุ อาการบ่งชี้ และแนวทางการดูแลรักษาอาการตาแฉะอย่างถูกวิธี เพื่อให้คุณสามารถรับมือกับปัญหานี้ได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น

ตาเปียก ตาแฉะ คืออะไร

ตาเปียก หรือตาแฉะ (Watery Eyes หรือ Epiphora) คือภาวะที่ดวงตามีการผลิตน้ำตาออกมาในปริมาณที่มากเกินความจำเป็น หรือระบบการระบายน้ำตาทำงานผิดปกติ ทำให้น้ำตาเอ่อล้นออกมาบริเวณรอบดวงตา หรือไหลอาบแก้มได้ แม้ว่าจะไม่ได้ร้องไห้ หรือมีอารมณ์เศร้าก็ตาม

ภาวะนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับดวงตาทั้งสองข้าง หรือเพียงข้างใดข้างหนึ่ง และพบได้ในทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่ทารกไปจนถึงผู้สูงอายุ ซึ่งระดับความรุนแรงของอาการก็แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล

ตาแฉะเกิดจากสาเหตุใดได้บ้าง

อาการตาแฉะไม่ได้เกิดขึ้นโดยไม่มีที่มาที่ไป แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่สามารถกระตุ้นให้เกิดภาวะนี้ได้ การทำความเข้าใจถึงต้นตอของปัญหาจะช่วยให้เราสามารถหาทางป้องกันและรักษาได้อย่างตรงจุด สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้เกิดอาการตาแฉะ มีดังนี้

1. ท่อน้ำตาอุดตัน

โดยปกติแล้ว น้ำตาที่เราผลิตขึ้นจะถูกระบายออกทางท่อน้ำตาเล็กๆ บริเวณหัวตา แล้วไหลลงสู่โพรงจมูก แต่เมื่อท่อน้ำตาเกิดการอุดตัน ไม่ว่าจะเป็นการอุดตันโดยสมบูรณ์หรือบางส่วน จะทำให้น้ำตาไม่สามารถระบายออกไปได้ตามปกติ จึงเกิดการสะสมและเอ่อล้นออกมา ทำให้เกิดอาการตาแฉะ การอุดตันนี้อาจเกิดจากการติดเชื้อ การอักเสบ หรือการเปลี่ยนแปลงตามวัย บางรายอาจมีปัญหาเกี่ยวกับร่องน้ำตาที่เด่นชัดร่วมด้วย

2. มีภาวะตาแห้ง

อาจฟังดูขัดแย้ง แต่ภาวะตาแห้ง (Dry Eyes) ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการตาแฉะได้ เมื่อดวงตาของเราแห้งเกินไป ต่อมน้ำตาจะถูกกระตุ้นให้ผลิตน้ำตาออกมามากขึ้นเพื่อชดเชยความชุ่มชื้นที่ขาดหายไป แต่น้ำตาที่ผลิตออกมาในลักษณะนี้มักจะมีคุณภาพไม่ดีพอหรือไม่สมดุล ทำให้ระเหยเร็วและไม่สามารถหล่อลื่นดวงตาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ร่างกายจึงพยายามผลิตน้ำตาเพิ่มขึ้นอีก วนเวียนจนเกิดเป็นอาการตาแฉะได้นั่นเอง

3. ภูมิแพ้ขึ้นตา

ภูมิแพ้ขึ้นตา หนึ่งในสาเหตุตาแฉะ

สำหรับผู้ที่มีอาการภูมิแพ้ เมื่อดวงตาสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ต่างๆ เช่น ไรฝุ่น เกสรดอกไม้ ขนสัตว์ หรือเครื่องสำอางบางชนิด ร่างกายจะตอบสนองโดยการปล่อยสารฮิสตามีนและสารอื่นๆ ที่ก่อให้เกิดการอักเสบและระคายเคืองบริเวณเยื่อบุตา ส่งผลให้มีอาการคัน ตาแดง และกระตุ้นให้ต่อมน้ำตาผลิตน้ำตาออกมาในปริมาณมากเพื่อพยายามชะล้างสารก่อภูมิแพ้ออกไป จึงเกิดอาการตาแฉะตามมา

4. ตาแดง หรือเยื่อบุตาอักเสบ

เยื่อบุตาอักเสบ (Conjunctivitis) หรือที่เรียกกันติดปากว่า “ตาแดง” เป็นภาวะที่เยื่อบุตาซึ่งเป็นเนื้อเยื่อบางๆ ที่คลุมตาขาวและบุด้านในของเปลือกตาเกิดการอักเสบขึ้น อาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย หรือสารระคายเคือง เมื่อเกิดการอักเสบ ร่างกายจะตอบสนองด้วยการผลิตน้ำตาออกมามากขึ้นเพื่อต่อสู้กับการติดเชื้อหรือบรรเทาการระคายเคือง ทำให้มีอาการตาแฉะ ร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น ตาแดง คัน แสบตา หรือมีขี้ตามากผิดปกติ

5. ดวงตาระคายเคืองจากสารต่างๆ หรือมลภาวะในสิ่งแวดล้อม

ดวงตาของเรามีความบอบบางและไวต่อสิ่งกระตุ้นภายนอก การสัมผัสกับสารระคายเคืองต่างๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น ควันบุหรี่ ควันธูป ฝุ่นละออง PM2.5 สารเคมีจากสเปรย์ต่างๆ หรือแม้แต่ลมแรง ก็สามารถกระตุ้นให้ดวงตาระคายเคืองและผลิตน้ำตาออกมามากขึ้นเพื่อปกป้องและชะล้างสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้นออกไป ทำให้เกิดอาการตาแฉะชั่วคราวได้

6. ขนตาทิ่มตา

ภาวะขนตาทิ่มตา (Trichiasis) คือภาวะที่ขนตางอกผิดทิศทาง โดยม้วนเข้าด้านในและเสียดสีกับกระจกตาหรือเยื่อบุตา ทำให้เกิดการระคายเคืองอย่างต่อเนื่อง ดวงตาจึงตอบสนองด้วยการผลิตน้ำตาออกมามากขึ้นเพื่อลดการเสียดสี ซึ่งภาวะนี้อาจเกี่ยวข้องกับโครงสร้างเปลือกตา เช่น หนังตาตก หรือภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงที่ทำให้เปลือกตาไม่สามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ

7. เปลือกตาอักเสบ

เปลือกตาอักเสบ (Blepharitis) เป็นการอักเสบเรื้อรังบริเวณขอบเปลือกตา ซึ่งอาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ต่อมไขมันที่เปลือกตาทำงานผิดปกติ หรือเป็นโรคผิวหนังบางชนิด เมื่อเปลือกตาอักเสบ จะทำให้เกิดการระคายเคือง ดวงตาแห้ง และกระตุ้นให้เกิดการผลิตน้ำตาที่ผิดปกติ นำไปสู่อาการตาแฉะได้เช่นกัน

อาการตาแฉะแบบไหนที่ควรไปพบแพทย์

ตาแฉะแบบไหนที่ต้องไปพบแพทย์

โดยทั่วไป หากอาการตาแฉะเป็นเพียงเล็กน้อยและเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว อาจไม่จำเป็นต้องกังวลมากนัก แต่หากคุณมีอาการตาแฉะ ร่วมกับอาการเหล่านี้ ควรพิจารณาไปพบจักษุแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด

  • อาการตาแฉะ เป็นต่อเนื่องยาวนานหลายวัน หรือไม่ดีขึ้น
  • มีอาการปวดตา ตาแดงจัด หรือมีขี้ตาสีเขียวเหลืองปริมาณมาก
  • การมองเห็นผิดปกติ เช่น มองเห็นภาพซ้อน ตามัวลง
  • รู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในตาตลอดเวลา
  • มีอาการบาดเจ็บที่ดวงตา หรือสงสัยว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้าตา
  • เปลือกตาบวม แดง หรือมีก้อนผิดปกติ

วิธีรักษาอาการตาแฉะ

การรักษาอาการตาแฉะจะขึ้นอยู่กับสาเหตุที่แท้จริงของปัญหา ดังนั้น การวินิจฉัยที่ถูกต้องจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง หากอาการตาแฉะเกิดจากภาวะตาแห้ง แพทย์อาจแนะนำให้ใช้น้ำตาเทียมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น หากเกิดจากการติดเชื้อ อาจจำเป็นต้องใช้ยาหยอดตาหรือยาปฏิชีวนะ 

ในกรณีที่เกิดจากภูมิแพ้ การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้และใช้ยาแก้แพ้จะช่วยบรรเทาอาการได้ สำหรับภาวะท่อน้ำตาอุดตัน หรือปัญหาโครงสร้างเปลือกตา เช่น ขนตาทิ่มตาจาก หนังตาตก อาจจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยหัตถการ หรือการผ่าตัด เช่น การแยงท่อน้ำตา การใส่ท่อระบายน้ำตา รวมถึงการแก้ตา หรือการทำตาสองชั้น เพื่อแก้ไขความผิดปกติของเปลือกตา 

หากอยากทราบว่าวิธีรักษาไหนที่เหมาะกับตัวเอง แนะนำให้ปรึกษาจักษุแพทย์ หรือแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่คลินิกทำตา เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ก็จะดีที่สุด

แนะนำวิธีดูแลดวงตาให้แข็งแรง ป้องกันไม่ให้เกิดอาการตาแฉะ

การดูแลสุขภาพดวงตาเป็นประจำเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอาการ ตาแฉะ และปัญหาดวงตาอื่นๆ ได้ ลองทำตามคำแนะนำง่ายๆ เหล่านี้

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือขยี้ตาบ่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อมือไม่สะอาด
  • ล้างมือให้สะอาดเป็นประจำ เพื่อลดความเสี่ยงในการนำเชื้อโรคเข้าสู่ดวงตา
  • หากมีภาวะภูมิแพ้ พยายามหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ที่ทราบ
  • สวมแว่นกันแดดหรือแว่นป้องกันเมื่อต้องเผชิญกับแสงแดดจ้า ลมแรง หรืออยู่ในที่ที่มีฝุ่นควันมาก
  • พักสายตาเป็นระยะเมื่อต้องใช้คอมพิวเตอร์หรือจ้องหน้าจอเป็นเวลานาน
  • ทำความสะอาดเครื่องสำอางรอบดวงตาให้หมดจดก่อนนอน และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของร่างกายและดวงตา

สรุปบทความ

อาการตาแฉะ แม้จะดูเป็นปัญหาเล็กน้อย แต่ก็สามารถส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและอาจเป็นสัญญาณของภาวะผิดปกติบางอย่างได้ การทำความเข้าใจถึงสาเหตุที่หลากหลาย ตั้งแต่ท่อน้ำตาอุดตัน ภาวะตาแห้ง ภูมิแพ้ ไปจนถึงการระคายเคืองจากสิ่งแวดล้อม จะช่วยให้เราสามารถสังเกตอาการและดูแลตนเองเบื้องต้นได้อย่างเหมาะสม หากอาการตาแฉะยังคงรบกวน หรือไม่ดีขึ้น การปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อสุขภาพดวงตาที่ดีในระยะยาว

สำหรับผู้ที่มีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาดวงตา ไม่ว่าจะเป็นอาการตาแฉะที่รบกวนการใช้ชีวิต หรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับลักษณะโครงสร้างของดวงตา เช่น ปัญหาตาไม่เท่ากัน ตาปรือ ดูไม่สดใส ลักษณะตาชั้นเดียวที่ต้องการปรับให้ดูมีมิติ ปัญหาเบ้าตาลึกที่ทำให้ใบหน้าดูอ่อนล้า หรือความกังวลเกี่ยวกับร่องน้ำตาที่เห็นได้ชัด ที่โคอาคลินิก คุณหมอกร (จักษุแพทย์) พร้อมให้คำปรึกษาและประเมินปัญหาอย่างละเอียด เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและตอบโจทย์ความต้องการของแต่ละบุคคล ด้วยเทคนิคที่ทันสมัยและใส่ใจในทุกรายละเอียด เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและความปลอดภัยของคุณ

icon-share
แชร์หน้านี้ :

ช่องทางติดตามคลินิก

Koaclinic
Koaclinic
Koaclinic
Koaclinic
Koaclinic
เริ่มดูปัญหาของคุณที่นี่ ส่งข้อมูล ปรึกษาคุณหมอ